วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดูงานฝีมือช่างศิลป์...พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ

สวัสดีครับทุกท่าน

            สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้หลายคนคงจะมองหาที่เที่ยวที่กินเพื่อคลายความเครียดจากการทำงานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเองก็เช่นกันครับ มีที่ๆหนึ่งที่ผมสนใจจะไปเยี่ยมชม จากการได้ดูรายการต่างๆที่ไปถ่ายทำที่นี่และที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ทางศาสนาและภูมิปัญญางานฝีมือช่าง สัปดาห์นี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้มาท่องเที่ยวที่นี่....พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ครับ

            พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณหรือช้างสามเศียร อยู่สำโรงสมุทรปราการใกล้แค่นี้เอง ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของจังหวัดสมุทรปราการเลยก็ว่าได้ด้วยประติมากรรมรูปช้างเอราวัณสูงเด่นสะดุดตา ใครขับรถผ่านแถวนั้นเป็นต้องเห็น งานประติมากรรมช้างสามเศียรนี้ สร้างจากวัสดุทองแดงครับ แถมเคาะขึ้นรูปด้วยมือ ความสูงทั้งหมด วัดได้ 43.6 เมตร หรือประมาณความสูงของตึก 14 ชั้น โอ้โห!!






            การเดินทางนี่แสนง่าย ผมนั่งรถเมล์ต่อเดียวถึงเลยลงป้ายหน้าพิพิธภัณฑ์พอดี บัตรราคาเข้าชม สำหรับชาวไทยอย่างผมคนละ 200 บาท ถามว่าแพงหรือไม่?? ถ้าคุณมาเพื่อชื่นชมงานศิลป์ฝีมือช่างไทยและต้องการอนุรักษ์งานฝีมือและไอเดียในการสร้างผมว่าคุ้มมากครับ

           
คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ นักธุรกิจเจ้าของบริษัทวิริยะประกันภัย เจ้าของเดียวกับเมืองโบราณ เป็นผู้คิดริเริ่มที่จะเนรมิตแหล่งท่องเที่ยวนี้ขึ้นมาเพื่อรักษาของโบราณที่ท่านสะสม รวมถึงรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้เป็นมรดกของแผ่นดินไทยครับ
            ก่อนที่จะเข้าไปภายในตัวคารเรามาชื่นชมบริเวณรอบนอกกันก่อนครับ จัดแสดงสวนป่าหิมพานต์ซึ่งจะมีงานปูนปั้นสัตว์ในตำนานทางพุทธศาสนา เช่น นางเงือก กุญชรวารี (ตัวเป็นช้างหางเป็นปลา) มโนราห์ ฯ สวนร่มรื่นมากครับดูรูปกันได้เลย





                              


            จากนั้นผมก็ไปสักการะช้างเอราวัณ โดยนักท่องเที่ยวเอาหางบัตรไปแลกพวงมาลัยและธูปเทียนได้ เมื่อไหว้ขอพรเสร็จ ท่านใดประสงค์จะซื้อชุดผลไม้มาสักการะพระพิฆเนศวร์หรือช้างเอราวัณเชิญตามอัธยาศัยครับ ซึ่งมีจัดจำหน่ายเสร็จสรรพ จากนั้นนำดอกบัวไปลอยน้ำ



            ตัวอาคารสีชมพูแป๋นที่ท่านเห็นนี้แบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นบาดาล โลกมนุษย์และสวรรค์ ตามความเชื่อและคติทางพุทธศาสนา


            สำหรับชั้นโลกมนุษย์ คือชั้นที่เราเข้าไปถึง ท่านจะตกตะลึงในฝืมืองานประติมากรรมครับ ทำด้วยความวิจิตรบรรจงมาก เสาทั้งสี่ด้านสร้างด้วยทองแดงและเคาะขึ้นรูปบอกเล่าเรื่องราว ทศชาดก พระเยซูคริสต์เจ้า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และเรื่องราวของพระพุทธเจ้าสิทธัตถะ บันไดขึ้นสู่ชั้นบนเป็นบันไดนาคหรือมังกร พาเราขึ้นสู่สวรรค์ มีงานปูนปั้นเจ้าแม่กวนอิมเด่นตระหง่าน เมื่อก้าวเท้าขึ้นบันไดแต่ละขั้นคุณจะรู้สึกว่าเรากำลังขึ้นสู่สรวงสวรรค์จริงๆ











            ไต่บันได้ไปเรื่อยๆ มาถึงจุดที่เป็นท้องช้าง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่างได้ ไต่ขึ้นบันไดไปอีกเรื่อยๆและเรื่อยๆ สวรรค์มี 16 ชั้น ขณะไต่ขึ้นไปจะมีเหล่านางอัปสร นางฟ้ารายล้อมรอบตัวท่าน เพราะเป็นภาพจิตรกรรมน่ารักทีครับ มาจนถึงชั้นสูงสุดกันแล้ว





             ภาพที่เห็นตรงเบื้องหน้ามันคือที่สุดของความงาม ความจริง ความสงบครับ พระพุทธรูปที่ท่านเห็นอยู่นี้ช่างเป็นพระพุทธรูปที่งดงามราวกับมีชีวิต อ่อนช้อย ผมรู้สึกได้ถึงความพริ้วไหว แตกต่างพระพุทธรูปอื่นๆ ที่เคยเห็น ตลอดเวลาที่เราก้าวเท้าเข้ามาภายในตัวอาคารเราจะได้ยินเสียงพระเทศน์ตลอดเวลา เราจะรู้สึกสงบมากภายในจิตใจ นอกจากนี้แล้วชั้นสวรรค์นี้ยังเป็นที่ๆสะสมวัตถุโบราณของคุณเล็ก นั่นคือพระพุทธรูปเก่าแก่หายาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ แต่ละชิ้นนี่ประเมินมูลค่าไม่ได้เลย เช่น พระพุทธรูปสมัยทวารวดี ศ.ที่ 13-14   พระพุทธรูปศิลปะล้านนา ลพบุรี อยุธยา ศ.8 -20 ถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามาก สำหรับตัวผมเองปกติชื่นชอบไปเที่ยววัดวาอาราม และโบราณสถานอยู่เป็นทุนอยู่แล้ว แต่นี่ได้มาเห็นได้มาเปรียบเทียบว่าพระพุทธรูปแต่ละยุคแต่ละสมัย มีงานศิลป์ที่แตกต่างกันอย่างไร ผมถือว่าผมได้ความรู้เพิ่มเติมกลับบ้านมากมาย


             สำหรับชั้นบาดาล ผมสารภาพตามตรงว่าผมหาทางลงไม่เจอ จริงๆ ต้องลงไปด้วยลิฟท์ แต่ผมไม่ทันคิดเลยไม่ได้ลงไปชมครับ นอกจากนั้นแล้วบริเวณภายนอกและทางออกก็ยังมีโซนขายอาหารและของที่ระลึกครับ









             วันหยุดแบบนี้คุณสามารถพาลูกพาหลานมาเยี่ยมชมที่นี่ได้ครับเพราะที่นี่จะทำให้เราใกล้ชิดกับคติทางพุทธศาสนามากขึ้น และร่วมชื่นชมงานฝีมือของช่างไทยเราครับ หาอยากไปเที่ยวต่อที่เมืองโบราณมีบริการรถรับส่งฟรี ซึ่งรถจะออกเป็นเวลาครับ สำหรับวันนี้..สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น